สำนักข่าว
Bloomberg
รายงานว่า รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
กำลังพิจารณาใช้เงินทุนจากกฎหมาย CHIPS Act เพื่อเข้าถือหุ้นในบริษัท
Intel Corp. ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการกอบกู้ผู้ผลิตชิปที่กำลังประสบปัญหาและเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ภายในประเทศ
The
Wall Street Journal ยืนยันข่าวดังกล่าว
โดยระบุว่าแนวคิดนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาหารือในระหว่างการประชุมระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์และลิป-บู
ตัน ซีอีโอของ Intel เมื่อวันจันทร์ (11 ส.ค.) ที่ผ่านมา
นี่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงท่าทีอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากทรัมป์เพิ่งเรียกร้องให้ไล่ตันออกจากตำแหน่งเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้
ข่าวดังกล่าวเป็นข่าวที่ดีสำหรับนักลงทุนของ Intel ที่กำลังผิดหวัง
หุ้นของบริษัทพุ่งขึ้น 7% ในวันพฤหัสบดี (14 ส.ค.) จากรายงานข่าวการเจรจาในครั้งแรก
และปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องในช่วงเช้าของวันศุกร์ (15 ส.ค.)
The
Wall Street Journal ชี้ว่า Intel กำลังต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน
หลังจากที่บริษัทสูญเสียมูลค่าตลาดไปมากกว่าครึ่งในเวลาไม่ถึง 2 ปี และได้เผาเงินสดไปเกือบ 4 หมื่นล้านดอลลาร์
(ประมาณ 1.30 ล้านล้านบาท)
ในช่วงสามปีที่ผ่านมาเพื่อพยายามทวงคืนตำแหน่งผู้นำด้านการผลิตจากคู่แข่งอย่าง TSMC
สถานการณ์ทางการเงินยังคงน่าเป็นห่วง
โดย Wall
Street คาดการณ์ว่าในปีนี้ Intel จะมีเงินสดไหลออกจากบริษัทสุทธิอีก
7 พันล้านดอลลาร์ (ราว 2.27
แสนล้านบาท)
ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาที่หยั่งรากเกินกว่าที่เงินช่วยเหลือจากรัฐบาลเพียงอย่างเดียวจะแก้ไขได้
เทคโนโลยีกระบวนการผลิตที่ทันสมัยที่สุดของ
Intel
ที่เรียกว่า 18A ซึ่งควรจะเป็นตัวปิดช่องว่างกับ
TSMC กลับประสบปัญหาในการดึงดูดลูกค้าภายนอก
โดยบริษัทยอมรับในการประกาศผลประกอบการไตรมาสสองเมื่อเดือนที่แล้วว่า
เทคโนโลยีนี้จะถูกใช้สำหรับผลิตภัณฑ์ของ Intel เองเป็นส่วนใหญ่
ซีอีโอ
ลิป-บู ตัน ได้ ‘ยื่นคำขาด’ อย่างชัดเจน
โดยประกาศว่าจะไม่ทุ่มเงินลงทุนมหาศาลกับเทคโนโลยียุคถัดไป
หากไม่ได้รับการยืนยันคำสั่งซื้อจากลูกค้ารายใหญ่ภายนอก
ซึ่งนักวิเคราะห์ประเมินว่าอาจต้องใช้เงินลงทุนสูงถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 6.49 แสนล้านบาท)
การตัดสินใจดังกล่าวอาจหมายถึงการที่
Intel
ต้องถอนตัวจากธุรกิจการผลิตชิปขั้นสูง
ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความพยายามของรัฐบาลในการสร้างความมั่นคงด้าน
‘ความมั่นคงของชาติ’ เนื่องจาก Intel เป็นบริษัทสัญชาติอเมริกันเพียงแห่งเดียวที่สามารถผลิตชิปที่ล้ำสมัยได้
Intel
ถือเป็นผู้ที่จะได้รับผลประโยชน์รายใหญ่ที่สุดจากกฎหมาย CHIPS
Act อยู่แล้ว โดยได้รับการจัดสรรเงินช่วยเหลือสูงถึง 7.9 พันล้านดอลลาร์ (ราว 2.56 แสนล้านบาท)
สำหรับโรงงานทั่วไป, อีก 3
พันล้านดอลลาร์ (ราว 9.74 หมื่นล้านบาท)
สำหรับโครงการพิเศษของเพนตากอน และยังมีทางเลือกในการกู้ยืมอีก 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 3.57 แสนล้านบาท)
Bloomberg
รายงานเพิ่มเติมว่า
การเข้าถือหุ้นครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของรูปแบบการแทรกแซงทางอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นของรัฐบาลทรัมป์
ซึ่งเป็น ‘นโยบายอุตสาหกรรมเชิงรุก’ เพื่อส่งเสริมบริษัทที่เป็น
‘บริษัทเรือธงของประเทศ’
ก่อนหน้านี้
รัฐบาลทรัมป์ได้เข้าถือหุ้นบุริมสิทธิ์มูลค่า 400
ล้านดอลลาร์ (ราว 1.3 หมื่นล้านบาท) ในบริษัทเหมืองแร่หายาก MP
Materials, บังคับให้ Nvidia และ AMD แบ่งรายได้ 15% จากการขายชิป AI ให้จีน และยังได้ถือหุ้นใน U.S. Steel อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม
The
Wall Street Journal ได้ออกมาเตือนว่า
การสนับสนุนจากรัฐบาลมักมาพร้อมกับเงื่อนไขผูกมัด และอาจนำไปสู่
‘ผลกระทบที่ไม่ตั้งใจ’ ที่อาจสร้างความเสียหายให้กับอุตสาหกรรมในระยะยาว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงแนวโน้มของทรัมป์ที่พยายามจะใช้อิทธิพลโดยตรงต่อการตัดสินใจของภาคเอกชน
ตัวอย่างเช่น
รัฐบาลอาจกดดันให้ผู้ผลิตชิปรายใหญ่อย่าง Nvidia หรือ
AMD หันมาใช้โรงงานของ Intel เพื่อแลกกับใบอนุญาตส่งออกไปยังประเทศจีน
ซึ่งหากโรงงานของ Intel ยังไม่พร้อมเต็มที่
ก็อาจส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มีคุณภาพต่ำลงและทำให้ทั้งอุตสาหกรรมชิปของสหรัฐฯ
สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน
บริบททางการเมืองก็มีส่วนสำคัญ
โดยเฉพาะในรัฐโอไฮโอ ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานอีกแห่งของ Intel
ที่ประสบปัญหาล่าช้า
โอไฮโอเป็นรัฐที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งทั้งสามครั้ง และรองประธานาธิบดี เจดี แวนซ์
ก็เคยเป็น ส.ว. จากรัฐนี้มาก่อน
The
Wall Street Journal สรุปว่า
แม้การแทรกแซงของรัฐในอุตสาหกรรมชิปจะเกิดขึ้นแล้ว
แต่รัฐบาลกลางต้องระมัดระวังไม่ให้ก้าวล่วงเกินไปจนทำลายรูปแบบของตลาดเสรี
ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ภาคเทคโนโลยีของอเมริกากลายเป็น ‘ต้นแบบความสำเร็จ’
ที่ทั่วโลกต่างอิจฉา
หมายเหตุ : ใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 32.46 บาท ณ วันที่ 15 สิงหาคม 2568
ที่มา
:
The Standard
วันที่
18 สิงหาคม 2568