System Integrator ไทย จุดแข็ง จุดอ่อน และโอกาสในยุค Automation ครองโรงงาน


ใครจะคิดว่าในยุคที่หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติกำลังยึดครองโรงงานอุตสาหกรรมไทยด้วยมูลค่าการลงทุนพุ่งสูงถึง 1.14 ล้านล้านบาทในปี 2024, ธุรกิจ System Integrator ไทยกลับต้องเผชิญหน้ากับความจริงขมขื่นที่ว่า เราเป็นเพียงผู้ติดตั้งระบบที่คนอื่นออกแบบ ไม่ใช่ผู้สร้างสรรค์นวัตกรรม เมื่อตลาดอัตโนมัติไทยมีขนาด 1.99 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 และคาดว่าจะเติบโตด้วยอัตรา CAGR 9.44% ไปจนถึงปี 2032 แล้วทำไมบริษัท SI ไทยส่วนใหญ่กลับยังคงเป็นเพียง ‘ผู้รับจ้างช่วง’ ในห่วงโซ่คุณค่านี้ ? และความหวังสุดท้ายของอุตสาหกรรม System Integration ไทยที่กำลังถูกบีบให้ต้องปรับตัวหรือตายไป จริงหรือ

จุดแข็งของ System Integrator ไทย

ในขณะที่หลายคนมองภาพนี้เป็นเรื่องเศร้า แต่ความจริงแล้ว SI ไทยมีจุดแข็งที่ไม่ควรมองข้าม ประเทศไทยขึ้นแท่นเป็นอันดับ 8 ของโลกในการนำเข้าหุ่นยนต์อุตสาหกรรม และมีผู้ประกอบการได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ถึง 285 โครงการ มูลค่ารวม 30,999 ล้านบาท สำหรับการใช้เครื่องจักรและระบบอัตโนมัติ ซึ่งหมายความว่าตลาดในประเทศเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

บริษัท SI ไทยมีความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับวัฒนธรรมการทำงานและข้อจำกัดเฉพาะของอุตสาหกรรมไทย ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่ผู้เล่นต่างชาติไม่อาจมีได้ การที่บริษัทเช่น KSI Solution ประกาศตัวเป็น System Integrator สัญชาติไทย 100% และเชื่อมั่นว่าอุตสาหกรรม SI ของไทยยังไปได้อีกไกล แสดงถึงศักยภาพและความมั่นใจของผู้ประกอบการในเรื่องความสามารถในการแข่งขัน

ที่สำคัญคือ ประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT ที่มั่นคงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในอาเซียน และมีการสนับสนุนจากรัฐบาลผ่านนโยบาย Thailand 4.0 และมาตรการส่งเสริมการลงทุนด้านเทคโนโลยีต่างๆ รวมถึงการยกเว้นภาษีการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีจาก 200% เป็น 300% เหล่านี้คือรากฐานที่แข็งแกร่งที่ SI ไทยสามารถต่อยอดได้

นอกจากนี้ ตลาด SI ไทยยังคาดว่าจะเติบโตด้วยอัตรา CAGR 10.4% ระหว่างปี 2024-2030 โดยมีภาคไอทีและโทรคมนาคมเป็นผู้นำด้วยอัตราการใช้งาน 5G ที่รัฐบาลตั้งเป้าให้ถึง 73% ภายในปี 2027 ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้กับธุรกิจ System Integration

บทบาทของ ‘ช่างกลึง’ ในยุคโรงงานอัจฉริยะ

แต่ด้วยความเจ็บปวดของความจริง จุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของ SI ไทยคือการติดบทบาทของ ‘ผู้ติดตั้ง’ มากกว่า ‘ผู้สร้างสรรค์’ เมื่อมองดูข้อมูลจากการศึกษาของ สวทช. พบว่าผู้ประกอบการไทยส่วนใหญ่ยังเป็นระดับผู้ใช้งานเพียงอย่างเดียวถึง 60% มีเพียงประมาณ 5% เท่านั้นที่สามารถเป็นผู้พัฒนาหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติได้ นี่คือภาพสะท้อนของอุตสาหกรรม SI ไทยที่ยังขาดความสามารถในการสร้างมูลค่าเพิ่มระดับสูง

ปัญหาที่รุนแรงไม่แพ้กันคือการขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะเฉพาะทาง กรณีศึกษาโดย Workday พบว่า 91% ขององค์กรไทยยังล้าหลังในเรื่อง digital agility และการขาดบุคลากรที่เหมาะสมและมีทักษะเป็นความท้าทายอันดับต้นๆ สำหรับ SI ไทยแล้ว การขาดบุคลากรด้าน data science และ AI ยิ่งทำให้การแข่งขันในระยะยาวเป็นเรื่องยากลำบาก

อีกจุดอ่อนสำคัญคือโครงสร้างรายได้ที่พึ่งพางานโครงการเป็นหลัก ซึ่งมีความไม่แน่นอนและการแข่งขันสูง บริษัท SI ไทยส่วนใหญ่ยังไม่สามารถสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอจากบริการหลังการติดตั้งหรือการพัฒนาโซลูชันเฉพาะได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เติบโตได้จำกัดและต้องเผชิญกับแรงกดดันด้านต้นทุนอย่างต่อเนื่อง

ที่น่าเป็นห่วงไม่น้อยคือปัญหาการขาดตลาดภายในประเทศที่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีที่พัฒนาในประเทศ ผู้ผลิตรายใหญ่ที่มีการปรับปรุงกระบวนการผลิตเป็นระบบอัตโนมัติล้วนนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ทำให้ SI ไทยต้องแข่งขันกับผู้เล่นต่างชาติที่มีเทคโนโลยีและประสบการณ์ที่เหนือกว่า

ภัยคุกคามจากคู่แข่งต่างชาติเมื่อเสือใหญ่มาเหยียบดินแดนช้าง

การที่ผู้เล่นระดับโลกเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น โดยเฉพาะบริษัทจากจีน ญี่ปุ่น และอินเดีย ไม่ได้เป็นเพียงข่าวดีสำหรับเศรษฐกิจไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนสำหรับ SI ไทยที่อาจถูกผลักออกจากตลาดของตัวเอง บริษัทเหล่านี้มาพร้อมกับเงินทุนขนาดใหญ่ เทคโนโลยีที่ทันสมัย และประสบการณ์จากตลาดโลก

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการที่ Google, Next DC จากออสเตรเลีย และ CTRL Datacenters จากอินเดีย เข้ามาลงทุนโครงการ data center ขนาดใหญ่ในไทย การลงทุนเหล่านี้ส่วนใหญ่จะใช้ SI จากประเทศต้นทางหรือบริษัทระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ไม่ใช่ SI ไทยที่ยังขาดประสบการณ์ในโครงการระดับนี้

ที่น่ากังวลมากกว่าคือ การที่ประเทศไทยนำเข้าหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ มูลค่า 194.34 ล้านบาทในเดือนมกราคม 2025 โดยส่วนใหญ่มาจากจีน 41.57% และญี่ปุ่น 28.82% ซึ่งบริษัทจากประเทศเหล่านี้มักจะนำ SI ของตัวเองมาด้วย หรือใช้ SI ท้องถิ่นเป็นเพียงผู้รับเหมาช่วง

ผลกระทบจากการแข่งขันนี้ทำให้ SI ไทยต้องยอมรับงานที่มีมาร์จิ้นต่ำ และมีอำนาจต่อรองที่จำกัดกับเจ้าของเทคโนโลยี ซึ่งจะส่งผลต่อความสามารถในการลงทุนวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองในระยะยาว

โอกาสทองในยุคของการเปลี่ยนผ่าน เมื่อวิกฤตกลายเป็นจุดเปลี่ยน

แต่ในวิกฤตก็มีโอกาส เมื่อตลาดดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันของไทยมีขนาด 10,060 ล้านดอลลาร์ในปี 2025 และคาดว่าจะเติบโตเป็น 15,690 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 นี่คือโอกาสสำคัญที่ SI ไทยสามารถปรับบทบาทจากผู้ติดตั้งสู่ผู้ให้คำปรึกษาและพันธมิตรในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล

การที่รัฐบาลไทยมีงบประมาณ 1,500 ล้านบาทสำหรับโปรแกรม AI และตั้งเป้าสร้างผู้เชี่ยวชาญด้าน AI จำนวน 30,000 คนภายในปี 2027 เป็นโอกาสให้ SI ไทยพัฒนาความสามารถด้านเทคโนโลยีใหม่และเปลี่ยนจากการเป็นผู้ติดตั้งฮาร์ดแวร์ไปสู่การเป็นผู้พัฒนาโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วย AI และ IoT

อีกโอกาสสำคัญคือการที่อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทยมีมูลค่าการส่งออกสูงถึง 27% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของประเทศ และอุตสาหกรรมการผลิตมีแนวโน้มการใช้ IoT สูงถึง 89% ซึ่งสูงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค การที่โรงงานไทยกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ Smart Factory และ Industry 4.0 เป็นตลาดขนาดใหญ่ที่ SI ไทยสามารถเข้าไปแข่งขันได้

โดยเฉพาะในยุคที่ SMEs ไทยเริ่มตื่นตัวเรื่อง Automation เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ประเทศไทยมีประชากรสูงวัย 1 ใน 5 หรือประมาณ 13 ล้านคน ทำให้ความต้องการระบบอัตโนมัติเพิ่มสูงขึ้น SI ที่สามารถเข้าใจบริบทและข้อจำกัดของ SMEs ไทยจะมีโอกาสเติบโตได้มาก

อนาคตของ System Integrator ไทย

การศึกษาจาก 6W Research ระบุว่าตลาด System Integrator ไทยจะเติบโตด้วยอัตรา CAGR 10.4% ในช่วง 2024-2030 แต่คำถามคือ SI ไทยจะสามารถควบคุมส่วนแบ่งการตลาดได้มากน้อยแค่ไหน

ทางออกสำคัญคือการปรับโมเดลธุรกิจจากการพึ่งพารายได้จากงานโครงการไปสู่การสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอจากบริการต่างๆ เช่น การพัฒนาโปรแกรมควบคุมระบบโรงงาน การให้บริการ data center และการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากบริการหลังการติดตั้ง รวมถึงการพิจารณาความร่วมมือกับผู้ให้บริการในต่างประเทศในรูปแบบ platform partner หรือ subcontractor

ที่สำคัญไม่แพ้กันคือการลงทุนพัฒนาบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญด้าน AI, IoT และเทคโนโลยีใหม่ๆ รวมถึงการสร้างความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อให้สามารถแข่งขันกับผู้เล่นต่างชาติได้

ในโลกที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การอยู่รอดของ SI ไทยจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัวและสร้างความแตกต่าง ไม่ใช่เพียงการติดตั้งระบบ แต่คือการเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงที่จะทำให้อุตสาหกรรมไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก

ชะตากรรมที่รอการตัดสินใจ

ท้ายที่สุดแล้ว System Integrator ไทยยืนอยู่ที่จุดแยกทาง ระหว่างการเป็นผู้ติดตั้งที่ถูกแทนที่โดยเทคโนโลยีและคู่แข่งต่างชาติ หรือการกลายเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านดิจิทัลของประเทศ ด้วยตลาดที่เติบโตแต่การแข่งขันที่รุนแรงขึ้น เวลาของการตัดสินใจเลือกทางนั้นไม่เหลือมากนัก

คำถามสุดท้ายที่ SI ไทยต้องตอบคือ จะยังคงเป็น ‘ช่างกลึงในยุคโรงงานอัจฉริยะ’ หรือจะกลายเป็น ‘สถาปนิกแห่งอนาคต’ ที่ออกแบบระบบที่จะนำประเทศไทยไปสู่ยุคใหม่ของการผลิต ผลลัพธ์ของการเลือกนี้จะเป็นตัวกำหนดว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า เราจะเห็น System Integrator ไทยในตำแหน่งผู้นำ หรือเป็นเพียงเชิงอรรถในประวัติศาสตร์ของการพัฒนาเทคโนโลยี ก็ต้องเฝ้าติดตามกันต่อไป

 

ที่มา : mmthailand

วันที่ 7 สิงหาคม 2568


ไฟล์เอกสารแนบ
-
ที่มา : MMthailand
ข้อมูลวันที่ : 2025-08-07 03:32:22
700/1 หมู่ 1 นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี, ถ.บางนา-ตราด กม. 57, ต.คลองตำหรุ, อ.เมือง, จ.ชลบุรี 20000
038-215033-39, 033-266040-44
Icon made by Freepik from www.flaticon.com