“การ์ทเนอร์” คาดการณ์ว่า ในอีกสองปีข้างหน้า (พ.ศ. 2570) กว่า 40% ของโครงการงานด้าน Agentic AI จะถูกยกเลิกไปสาเหตุเนื่องมาจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
คุณค่าทางธุรกิจที่ไม่ชัดเจน รวมถึงการควบคุมความเสี่ยงที่ไม่เพียงพอ
อนุศรี
เวอร์มา ผู้อำนวยการนักวิเคราะห์อาวุโส การ์ทเนอร์ กล่าวว่า โปรเจกต์ Agentic
AI ส่วนใหญ่ในขณะนี้ยังเป็นเพียงการทดลองเริ่มต้นหรืออยู่ในช่วงการพิสูจน์แนวคิด
(Proof of Concepts) ซึ่งขับเคลื่อนผ่านกระแสความนิยมเป็นหลักและมักถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด
ระวัง!
ได้แค่ ‘ของปลอม’
ผลการสำรวจการ์ทเนอร์กับผู้เข้าร่วมเว็บบินาร์
3,412 ราย เมื่อเดือนม.ค.ที่ผ่านมา พบว่า 19%
ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าองค์กรลงทุนอย่างมีนัยสำคัญกับโปรเจกต์ Agentic
AI และ 42% ลงทุนอย่างระมัดระวัง, โดยมีเพียง 8% ที่ไม่ได้ลงทุนเลย และที่เหลืออีก 31% เลือกรอดูไปก่อน
ผู้จำหน่ายหลายรายกำลังสร้างกระแสความนิยมด้วยการทำ
“Agent
Washing” อันเป็นการรีแบรนด์ผลิตภัณฑ์เดิมที่มีอยู่แล้ว เช่น AI
Assistants, Robotic Process Automation (RPA) และ Chatbots โดยที่ไม่มีความสามารถ Agentic ที่แท้จริง
การ์ทเนอร์ประเมินว่ามีเพียงผู้จำหน่าย
Agentic
AI อยู่ราว 130 ราย
จากหลายพันรายเท่านั้นที่เป็นของจริง
ปัจจุบัน
ข้อเสนอ Agentic
AI ส่วนใหญ่ยังขาดคุณค่าสำคัญหรือผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) เนื่องจากโมเดลปัจจุบันยังไม่มีการพัฒนาตัวแทนให้เป็นแบบอัตโนมัติอย่างเต็มที่
ทั้งนี้เพื่อบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจที่ซับซ้อนหรือปฏิบัติตามคำแนะนำที่มีความละเอียดอ่อนในช่วงเวลาที่ต้องการ
ยูสเคสการใช้งานหลายอย่างที่เจาะจงวางตำแหน่งเป็น Agentic ในวันนี้นั้นไม่จำเป็นต้องใช้แบบ Agentic
ต้องเน้นที่
’คุณค่าทางธุรกิจ’
แม้จะมีความท้าทายในช่วงเริ่มต้น
แต่แนวโน้มการใช้ Agentic AI แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการที่ก้าวกระโดดไปข้างหน้ากับความสามารถของ
AI และโอกาสทางการตลาด
โดย
Agentic
AI จะนำเสนอวิธีการใหม่สำหรับเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร
แปลงงานซับซ้อนให้เป็นอัตโนมัติ และแนะนำนวัตกรรมทางธุรกิจใหม่ๆ
เกินกว่าขีดความสามารถของบอทอัตโนมัติและผู้ช่วยเสมือนที่โปรแกรมการทำงานไว้ล่วงหน้า
การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า
ภายในปี 2571 อย่างน้อย 15%
ของการตัดสินใจในการทำงานประจำวันจะเป็นอัตโนมัติผ่าน Agentic AI เพิ่มขึ้นจาก 0% ในปี 2567
นอกจากนี้
ในปี 2571 แอปพลิเคชันซอฟต์แวร์สำหรับองค์กร 33% จะรวม Agentic
AI ไว้เพื่อใช้งาน โดยเพิ่มขึ้นจากน้อยกว่า 1%
ในปี 2567
ดังนั้นองค์กรธุรกิจควรใช้
Agentic
AI กับในเคสที่ให้คุณค่าหรือมี ROI ที่ชัดเจน
โดยการผสานรวม Agents เข้ากับระบบเดิมอาจมีความซับซ้อนทางเทคนิค
มักทำให้การทำงานหยุดชะงัก
รบกวนเวิร์คโฟลว์การทำงานและต้องการการปรับเปลี่ยนที่มีต้นทุนสูง ในหลายกรณี
การคิดใหม่เกี่ยวกับขั้นตอนการทำงานด้วย Agentic AI ตั้งแต่เริ่มต้นเป็นแนวทางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการนำไปใช้ที่ประสบความสำเร็จ
เพื่อให้ได้รับคุณค่าที่แท้จริงจาก
Agentic
AI องค์กรต้องเน้นไปที่ผลผลิตขององค์กร
มากกว่าการนำมาเสริมการทำงานส่วนบุคคลเพียงด้านเดียว สามารถเริ่มต้นโดยใช้ AI
agents เมื่อจำเป็นต้องตัดสินใจใช้ระบบอัตโนมัติในขั้นตอนการทำงานตามปกติ
และใช้ผู้ช่วยค้นหาข้อมูล ซึ่งเกี่ยวกับการขับเคลื่อนคุณค่าทางธุรกิจผ่านต้นทุน
คุณภาพ ความเร็ว และขนาด
ที่มา
:
กรุงเทพธุรกิจ
วันที่
17 ก.ค. 2568